เมืองบรูจส์ (Bruges) เป็นเมืองหลวงขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ที่ฟลานเดอร์
มีความสำคัญทางประวัติศาตร์และศิลปะมากมาย
นอกจากนี้ยังโดดเด่นเรื่องสถาปัตยกรรมสไตล์โกธิคแบบดั้งเดิมอีกด้วย
เมืองบรูจส์ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองหลวงทางด้านการค้าและวัฒนธรรมของยุโรป
ถ้ามาเที่ยวเมืองนี้ เราจะได้พบกับความสวยงามของลำคลองมากมาย
ซึ่งลำคลองพวกนี้ถูกใช้ในการคมนาคมขนส่งต่างๆ
จนทำให้เมืองบรูจส์ได้รับการขนานนามว่า “The Venice of the north”
Bruges (ฝรั่งเศส: Bruges; เยอรมัน:
Brügge) เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของเบลเยียมจังหวัดของ
West Flanders และย่าน Bruges เมืองที่ตั้งอยู่ในเขตตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศยังเป็นเมืองหลวงของเขตเลือกตั้งของ
Bruges มีสี่รัฐของตัวเองและเป็นที่นั่งของสังฆมณฑลแห่งบรูจส์และศาลของ
assizes
👀ศูนย์กลางประวัติศาสตร์เป็นเมืองยุคกลางที่มีชื่ออยู่ในรายการมรดกโลกขององค์การยูเนสโก
มันเป็นรูปไข่และประมาณ 430 เฮกตาร์
เทศบาลทั้งเมืองมีพื้นที่ผิวน้ำมากกว่า 13.840
เฮกตาร์รวมถึงพื้นที่ประมาณ 1.075 เฮกเตอร์ในทะเลใกล้กับ Zeebrugge 👀เมืองนี้มีประชากรมากกว่า 118,000 คน;
ประมาณ 20,000 คนอาศัยอยู่ในตัวเมือง
ชาวบรูจส์เรียกว่า Bruggelingen
👀ความสำคัญทางเศรษฐกิจของ Bruges เกิดจากท่าเรือทางทะเล
Zeebrugge เมืองนี้ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลก
(ขอบคุณข้อมูลจาก https://nl.wikipedia.org/wiki/Brugge)
👀 เก็บบรรยากาศ Autumn กันไป 💃💃
👀 สีสันใบไม้ในฤดู Autumn สวยงามจริงๆ 💃💃
👀 สวยงามหลากสีสัน 💃💃
👀 มาถึง Bruges แล้วก็หาที่จอดรถ ห่างจากตัวเมืองประมาณ 1 กม. ที่สำคัญบริเวณนี้ฟรีนั่นเอง 👨👧
👀 มาถึงเดินเข้าเมืองจากที่จอดรถไป ก็เลี้ยวซ้ายออกถนนใหญ่ แล้วเลี้ยวขวาอีกครั้งก็เข้าเมืองได้เลย 👧
👀 ประตูทางเข้าศูนย์กลางประวัติศาสตร์เป็นเมืองยุคกลางที่มีชื่ออยู่ในรายการมรดกโลกขององค์การยูเนสโก (UNESCO)
👀 ประตูทางเข้า เมืองบรูจส์
👀 เดินทะลุผ่านสะพานด้านข้างซุ้มประตูทางเข้าอันสวยงาม 💃
👀 เข้าเมืองมาแล้ว มีร้านค้าเรียงราย 💃
👀 ตึกอาคาร สถาปัตยกรรมอันสวยงาม เก๋ไก๋ไม่เหมือนใครเลยทีเดียว 💃
👀 เลี้ยวซ้ายแล้วมุ่งตรงไปเห็นหอคอยอยู่ไกลๆ 💃
👀 บริเวณนี้มีร้านอาหารเรียงราย💃
👀 เดินทะลุออกมาจากอาคารนี้ ก็มาโผล่ตรง จัตุรัสกลางเมืองนี้มีชื่อที่เรียกว่า “มาร์เกต สแควร์” (Market Square) 💃
👀 จัตุรัสกลางเมืองนี้มีชื่อที่เรียกว่า “มาร์เกต สแควร์” (Market
Square) ซึ่งมีหอระฆัง ป้อมปราการประจำเมือง สร้างขึ้นที่จัตุรัสตลาดหลักราวปี ค.ศ. 1240 แม้ว่าส่วนใหญ่ถูกทำลายด้วยไฟแล้วสร้างขึ้นมาใหม่อีกครั้งในปี
ค.ศ. 1280 และพิพิธภัณฑ์หลายแห่ง รวมถึงตลาด ร้านขายของที่ระลึก
👀 ในอดีตเมืองบรูจส์เคยเป็นเมืองท่าค้าขายที่สำคัญมากของยุโรป เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยพ่อค้าและเศรษฐี แต่เมื่อเกิดภัยธรรมชาติทำให้คลองต่างๆ ที่เชื่อมออกสู่ทะเลเริ่มตื้นเขิน เรือใหญ่ๆ จึงไม่สามารถเข้ามาเทียบท่าได้เหมือนเดิม แต่พ่อค้าในเมืองนี้ก็ยังยืนหยัดทำการค้าขายโดยอาศัยเมืองท่าใกล้ๆ ในการทำธุรกิจต่อไป พอช่วงศตวรรษที่ 14-15 เกิดปัญหาทางการเมือง ความเหลื่อมล้ำทางสังคม ปัญหาจลาจล สงคราม และการปฏิรูปการปกครอง ทำให้เมืองบรูจจ์ค่อยๆ ซบเซาลง แล้วพ่ายตำแหน่งเมืองท่าสำคัญให้กับเมืองแอนต์เวิร์ป (Antwerp) ไปในที่สุด จนกระทั่งต่อมาราวปี ค.ศ. 1850 บรูจจ์กลายเป็นเมืองที่ยากจนที่สุด แต่ปลายศตวรรษที่ 19 บรูจจ์กลับกลายเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงสำหรับนักท่องเที่ยวอีกครั้ง เพราะเป็นแหล่งรวมสถานที่ทางประวัติศาสตร์และพิพิธภัณฑ์หลายแห่ง โดยสหภาพยุโรปได้ทุ่มงบประมาณจำนวนมหาศาลเพื่อบูรณะบรูจส์ให้เป็นเมืองท่องเที่ยว จนเวลานี้บรูจจ์กลายเป็นเมืองที่ผู้คนทั่วโลกอยากมาสัมผัสมากที่สุด เพราะมีความโรแมนติกและมีชีวิตชีวา บรูจจ์จึงกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งหลังจากที่ถูกฝังไว้กับอดีตนานเกือบ 5 ศตวรรษ
👀 Belfry & Halle เป็นหอระฆังที่มีลักษณะที่โดดเด่น ซึ่งจะตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมืองบรูจส์ เปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมทิวทัศน์ของเมืองโดยรอบได้ ภายในตัวอาคารมีจัดนิทรรศการแสดงประวัติความเป็นมา และมีร้านค้าเรียงราย💃
👀 หอระฆัง Belfort – ปีนหอ Belfort และเพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพที่งดงามบางส่วนของเมือง นี้ หอระฆังสูง 83 เมตร
👀 เมื่อเดินมายังจัตุรัสใจกลางเมือง ก็จะได้ชมวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่ ที่ต่างออกมานั่งจิบกาแฟรับแดดรับลมตามร้านอาหารที่มีอยู่รอบจัตุรัส ซึ่งก็มีกิจกรรมต่างๆ มากมายไม่ว่างเว้น ณ จัตุรัสกลางเมืองแห่งนี้ อย่างเทศกาลเบียร์ ก็จะมีขบวนพาเลสยกมาอวดโฉมแสดงถึงความเป็นมาแบบดั้งเดิม ผู้คนก็แต่งตัวแบบชาวพื้นเมือง เป็นที่น่าสนใจของนักท่องเที่ยวต่างเมืองยิ่งนัก 😏😊
👀 แวะชิมร้านอาหารขึ้นชื่อบริเวณจัตุรัสกลางเมือง เอาแรงก่อนไปออกเดินสำรวจต่อ 💃💃
👀 อิ่มแล้วก็ออกเดินออกจากจัตุรัสกลางเมือง มุ่งไปทางซ้ายผ่านร้านค้า ร้านขายของที่ระลึก ร้านช็อคโกแลต ขนม วาฟเฟิล ร้านสิ่งทอ มากมาย 😋😋
👀 เดินทะลุมาอีกฝั่ง
👀basilica of the holy blood brugge
👀 เมืองบรูจส์เป็นเมืองที่มีศิลปะและสถาปัตยกรรมที่เก่าแก่และงดงามมากมาย ซึ่งแน่นอนว่าสถานที่ที่ขึ้นชื่อเรื่องนี้คงหนีไม่พ้น Basilica of the Holy Blood เป็นโบสถ์สไตล์โรมันและโกธิค เล่ากันว่าโบสถ์แห่งนี้ ได้เก็บรักษาเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดและอัฐิของพระเยซูไว้ เมื่อเข้าไปภายใน รับรองว่าจะต้องตะลึงกับความสวยงามของตัวโบสถ์ ตามผนังจะมีภาพวาดเรื่องราวของพระเยซูมากมาย ด้านในสุดจะมีอัฐิวางอยู่บนแท่นบูชาสีทองที่ประดับด้วยเพชรพลอยอย่างงดงาม ด้วยความงดงามและเก่าแก่ของโบสถ์แห่งนี้👫👀 บริเวณนี้จะเป็นตลาดสดปลา อาหารทะเล ภาพวาดศิลปะต่างๆ
👀 ไปต่อ มุ่งหน้าสู่สวนสาธารณะ💃💃
👀เที่ยวทะเลสาบมินนีวอเตอร์ (Minnewater)
ทะเลสาบมินนีวอเตอร์ (Minnewater) หรือมีชื่อเรียกอีกแบบว่า
ทะเลสาบแห่งรัก (Lake of
Love) เป็นสถานที่สุดโรแมนติก
เหมาะสำหรับการเที่ยวพักผ่อนกับครอบครัวหรือคนที่คุณรัก
เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ใจกลางเมืองบรูจส์ (Bruges) แต่กลับเงียบสงบและร่มรื่น
ภายในจะพบกับบ้านเรือนริมน้ำที่มีลักษณะคล้ายกับหอคอยเรียงรายมากมาย
และมีต้นวิลโลว์ที่พริ้วไหวไปมายามมีลมพัดผ่าน ทำให้ที่นี่เกิดความงดงามอันน่าทึ่ง
ดึงดูดให้ผู้คนมาเที่ยวอย่างมากมาย มีเรื่องเล่าว่า
ทะลสาบแห่งนี้เกิดขึ้นจากเรื่องราวของเด็กสาวสวยที่ชื่อ Minna ซึ่งพบรักกับนักรบหมู่บ้านใกล้เคียงชื่อ
Stromberg แต่พ่อของเธอไม่เห็นด้วยกับความรักในครั้งนี้
จึงจัดให้แต่งงานกับชายที่เลือกไว้ให้ ทำให้ Minna เลือกที่จะหนีงานแต่งในครั้งนี้
เธอได้วิ่งหายเข้าไปในป่าลึก ชายหนุ่ม Stromberg ได้ออกตามหาหญิงสาว แต่ก็สายไปเสียแล้ว
ภาพที่ชายหนุ่มเห็น คือ คนรักของเขานอนหมดแรงอยู่กลางป่า
และเสียชีวิตในเวลาถัดไปในอ้อมแขนของเขาเอง
ต่อมาชื่อของเธอถูกตั้งเป็นชื่อทะเลสาบและสะพานเพื่อเป็นเกียรติแก่ความรักอันยิ่งใหญ่เธอ
ทำให้ที่นี่ถูกขนานนามว่าเป็นดินแดนแห่งความรักสุดแสนโรแมนติกอีกสถานที่หนึ่งในประเทศเบลเยียม
👀 สวนสาธารณะที่สวยงาม คลาสสิคมาก มาที่นี่ต้องห้ามพลาด💃💃
👀 เจอรูปปั้นหัวม้า ดูเก๋ไก๋ มันคือก๊อกน้ำสำหรับม้านั่นเอง💃💃
👀สัญลักษณ์ของเมืองบรูจส์ คือ หงส์ ซึ่งจะพบได้มากมายที่ทะเลสาบมินนีวอเตอร์ ในช่วงหน้าร้อน สถานที่แห่งนี้มักจะถูกใช้จัดคอนเสิร์ตเป็นประจำ ส่วนหน้าหนาว ทะเลสาบมินนีวอเตอร์จะกลายเป็นน้ำแข็ง และต้นไม้บริเวณนั้นก็จะถูกปกคลุมด้วยหิมะ